บทความ

10 เหตุผลกู้บ้านไม่ผ่าน รู้ก่อนเพื่อปรับให้มีโอกาสผ่านมากขึ้น

กู้บ้านไม่ผ่านเกิดจากอะไร

การกู้ซื้อบ้านถือเป็นก้าวสำคัญในชีวิตที่หลายคนฝันถึง แต่ไม่ใช่ทุกคนจะผ่านการอนุมัติสินเชื่อได้ง่าย ๆ หลายคนต้องพบกับความผิดหวังเมื่อธนาคารปฏิเสธคำขอสินเชื่อ การเข้าใจสาเหตุของปัญหากู้บ้านไม่ผ่านและเตรียมตัวให้พร้อมล่วงหน้า จะช่วยเพิ่มโอกาสในการได้รับอนุมัติสินเชื่อบ้านที่เรามุ่งหวังได้มากขึ้น

10 เหตุผลกู้บ้านไม่ผ่าน

การถูกปฏิเสธสินเชื่อบ้านอาจเกิดได้จากหลายสาเหตุ ไม่เพียงแค่เรื่องรายได้ไม่พอเท่านั้น แต่ยังมีปัจจัยอื่น ๆ ที่ธนาคารนำมาพิจารณา มาดูกันว่ามีเหตุผลอะไรบ้างที่ทำให้การกู้บ้านไม่ผ่านบ้างกัน

1. ประวัติการเงินไม่ดี (เครดิตบูโร)

ประวัติเครดิตบูโรเป็นหนึ่งในปัจจัยหลักที่ธนาคารให้ความสำคัญเป็นอันดับต้น ๆ การมีประวัติผิดนัดชำระหนี้ ค้างชำระเกิน 90 วัน หรือเคยปิดบัญชีด้วยสถานะไม่ดี ล้วนส่งผลต่อคะแนนเครดิตของเรา ธนาคารมองว่าผู้ที่มีประวัติเครดิตไม่ดีมีความเสี่ยงสูงที่จะผิดนัดชำระหนี้ในอนาคต การแก้ไขเริ่มจากการตรวจสอบเครดิตบูโรของตัวเอง และเริ่มสร้างประวัติการชำระเงินที่ดีอย่างต่อเนื่องอย่างน้อย 12 เดือน เพื่อเพิ่มโอกาสในการกู้บ้านให้ผ่านในครั้งต่อไป 

2. รายได้ไม่เพียงพอ

รายได้เป็นปัจจัยสำคัญที่ธนาคารใช้พิจารณาความสามารถในการผ่อนชำระ โดยทั่วไปธนาคารมักกำหนดให้ภาระผ่อนต่อเดือนไม่ควรเกิน 30-40% ของรายได้สุทธิ หากรายได้ของเราต่ำกว่าเกณฑ์ที่กำหนด โอกาสที่จะกู้บ้านไม่ผ่านก็มีสูง การเพิ่มรายได้ด้วยการหาอาชีพเสริม หรือการยื่นกู้ร่วมกับคู่สมรสหรือสมาชิกในครอบครัว อาจช่วยเพิ่มวงเงินสินเชื่อและโอกาสการอนุมัติได้ นอกจากนี้ การมีเงินออมหรือสินทรัพย์อื่น ๆ จะช่วยสร้างความมั่นใจให้กับธนาคารได้มากขึ้น

3. อัตราส่วนหนี้ต่อรายได้สูง

อัตราส่วนหนี้ต่อรายได้ (Debt Service Ratio หรือ DSR) เป็นตัวชี้วัดว่าเรามีภาระหนี้สินมากน้อยเพียงใดเมื่อเทียบกับรายได้ ธนาคารส่วนใหญ่กำหนดให้ DSR ไม่ควรเกิน 40-50% ของรายได้ต่อเดือน หากเรามีภาระหนี้สินอื่นอยู่แล้ว เช่น ผ่อนรถ บัตรเครดิต หรือสินเชื่อส่วนบุคคล อาจส่งผลให้ DSR สูงเกินเกณฑ์ที่ธนาคารกำหนด ทำให้กู้บ้านไม่ผ่าน การจัดการหนี้สินที่มีอยู่ให้ลดลงก่อนยื่นขอสินเชื่อบ้าน หรือการชำระหนี้ก้อนเล็กให้หมดไป จะช่วยลด DSR และเพิ่มโอกาสในการกู้บ้านให้ผ่านได้

4. ไม่มีหลักประกันหรือหลักประกันไม่สอดคล้อง

หลักประกันคือสิ่งที่ธนาคารใช้ยึดถือเป็นหลักประกันในการให้สินเชื่อ โดยทั่วไปในการกู้ซื้อบ้าน ตัวบ้านหรือที่ดินจะเป็นหลักประกัน แต่บางครั้งมูลค่าหลักประกันอาจไม่สอดคล้องกับวงเงินที่ขอกู้ ธนาคารมักประเมินราคาหลักประกันต่ำกว่าราคาตลาดและให้สินเชื่อไม่เกิน 70-90% ของราคาประเมิน หากบ้านที่เราต้องการมีราคาสูงกว่าการประเมินมาก หรือตั้งอยู่ในทำเลที่มีความเสี่ยง อาจส่งผลให้กู้บ้านไม่ผ่าน การเตรียมเงินดาวน์ให้มากขึ้นจะช่วยลดความเสี่ยงในประเด็นนี้ได้

5. ปัญหาจากผู้กู้ร่วม

ปัญหาจากผู้กู้ร่วม

การยื่นกู้ร่วมกับบุคคลอื่นอาจช่วยเพิ่มวงเงินสินเชื่อ แต่หากผู้กู้ร่วมมีปัญหาทางการเงิน เช่น ประวัติเครดิตไม่ดี มีภาระหนี้สินมาก หรือรายได้ไม่แน่นอน ก็อาจส่งผลให้การกู้บ้านไม่ผ่านได้ ธนาคารจะพิจารณาคุณสมบัติของผู้กู้ทุกคนอย่างละเอียด และหากพบความเสี่ยงจากผู้กู้คนใดคนหนึ่ง อาจนำไปสู่การปฏิเสธสินเชื่อ ควรเลือกผู้กู้ร่วมที่มีประวัติการเงินดี มีรายได้มั่นคง และมีภาระหนี้ไม่มากนัก เพื่อเพิ่มโอกาสในการกู้บ้านให้ผ่านการอนุมัติ

6. เอกสารประกอบการขอสินเชื่อไม่ครบ

เอกสารประกอบการขอสินเชื่อเป็นสิ่งสำคัญที่ธนาคารใช้พิจารณาคุณสมบัติของผู้กู้ หากเอกสารไม่ครบถ้วน ไม่ชัดเจน หรือมีข้อมูลไม่สอดคล้องกัน อาจทำให้การกู้บ้านไม่ผ่านได้ เอกสารสำคัญที่ต้องเตรียม เช่น สลิปเงินเดือน สำเนาบัตรประชาชน สำเนาทะเบียนบ้าน รายการเดินบัญชีย้อนหลัง 6 เดือน หนังสือรับรองการทำงาน และเอกสารแสดงกรรมสิทธิ์ในหลักประกัน ควรเตรียมเอกสารให้พร้อมและตรวจสอบความถูกต้องก่อนยื่นขอสินเชื่อ เพื่อลดความเสี่ยงที่จะถูกปฏิเสธ

7. มีการยื่นขอสินเชื่อหลายแห่งพร้อมกัน

การยื่นขอสินเชื่อพร้อมกันหลายธนาคารอาจดูเหมือนเป็นวิธีที่ดีในการเปรียบเทียบข้อเสนอ แต่ในความเป็นจริงแล้ว อาจเป็นเหตุให้กู้บ้านไม่ผ่านได้ ธนาคารจะเห็นประวัติการสอบถามข้อมูลเครดิตจากสถาบันการเงินอื่น ๆ และอาจตีความว่าเรากำลังพยายามก่อหนี้มากเกินไป หรือถูกปฏิเสธจากที่อื่นมาแล้ว ควรศึกษาข้อมูลและเงื่อนไขของแต่ละธนาคารให้ดีก่อน แล้วเลือกยื่นกับธนาคารที่เราคิดว่ามีโอกาสอนุมัติสูงเพียง 1-2 แห่ง เพื่อลดความเสี่ยงในการถูกปฏิเสธ

8. สถานะการทำงานไม่มั่นคง

ความมั่นคงในอาชีพเป็นปัจจัยสำคัญที่ธนาคารใช้พิจารณาความสามารถในการผ่อนชำระในระยะยาว ผู้ที่เพิ่งเริ่มทำงาน เปลี่ยนงานบ่อย หรือประกอบอาชีพอิสระที่มีรายได้ไม่แน่นอน มักมีความเสี่ยงสูงในสายตาของธนาคาร ส่งผลให้กู้บ้านไม่ผ่านได้ง่าย ธนาคารส่วนใหญ่ต้องการให้ผู้กู้มีประวัติการทำงานที่มั่นคงอย่างน้อย 2 ปีขึ้นไป หากเราเป็นผู้ประกอบอาชีพอิสระ ควรเตรียมเอกสารแสดงรายได้ย้อนหลังให้ชัดเจน หรือมีสินทรัพย์อื่นเป็นหลักประกันเพิ่มเติม เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับธนาคาร

9. ไม่มีประวัติการใช้เครดิต

การไม่มีประวัติการใช้เครดิตอาจฟังดูดี แต่สำหรับการขอสินเชื่อบ้าน อาจกลายเป็นอุปสรรคได้ ธนาคารไม่มีข้อมูลเพียงพอที่จะประเมินพฤติกรรมทางการเงินของเรา ทำให้ไม่สามารถคาดการณ์ได้ว่าเราจะสามารถชำระหนี้ได้ตามกำหนดหรือไม่ ผู้ที่ไม่เคยมีประวัติการใช้บัตรเครดิต สินเชื่อส่วนบุคคล หรือสินเชื่อประเภทอื่น ๆ มาก่อน อาจถูกมองว่าเป็นลูกค้าที่มีความเสี่ยง การสร้างประวัติเครดิตที่ดีด้วยการใช้บัตรเครดิตหรือสินเชื่อขนาดเล็กและชำระตรงเวลา จะช่วยเพิ่มโอกาสในการกู้บ้านให้ผ่านในอนาคต

10. มีภาระหนี้สินเก่า

ภาระหนี้สินเก่าที่ยังคงค้างชำระเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการพิจารณาสินเชื่อบ้าน แม้ว่าเราจะไม่ได้ผิดนัดชำระ แต่หากมีภาระหนี้หลายรายการ เช่น ผ่อนรถ ผ่อนบัตรเครดิต หรือมีสินเชื่อส่วนบุคคล ก็อาจทำให้ความสามารถในการผ่อนบ้านหลังใหม่ลดลง ธนาคารจะประเมินว่าเรามีภาระผูกพันทางการเงินมากเกินไปหรือไม่ และอาจปฏิเสธการให้สินเชื่อเพื่อป้องกันความเสี่ยง การจัดการหนี้สินเก่าให้ลดลงหรือหมดไปก่อนยื่นขอสินเชื่อบ้าน จะช่วยเพิ่มโอกาสในการอนุมัติได้มาก

เตรียมเครดิตและเอกสารให้พร้อมก่อนกู้บ้าน

การเข้าใจสาเหตุที่ทำให้กู้บ้านไม่ผ่านเป็นก้าวแรกในการวางแผนแก้ไขปัญหาและเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการยื่นขอสินเชื่อครั้งต่อไป การเตรียมเอกสาร ปรับปรุงประวัติเครดิต และจัดการหนี้สินที่มีอยู่ให้เหมาะสม จะช่วยเพิ่มโอกาสในการได้รับการอนุมัติสินเชื่อบ้าน เรายังสามารถใช้เครื่องมือคำนวณสินเชื่อบ้านเพื่อประเมินความสามารถในการผ่อนและวางแผนการเงินได้อย่างเหมาะสม สำหรับผู้ที่กำลังมองหาบ้านที่มีมาตรฐานดี ๆ สักหลัง สามารถเยี่ยมชมโครงการจาก CP Land ได้เลย